จงนำ 19 คำต่อไปนี้ไปเติมลงในช่องว่างให้ถูกต้องเหมาะสมที่สุด
1. ล่มสลาย 2. ส่วนผสม 3. ประวัติศาสตร์ 4. ผสม 5. ผักรสเค็ม 6. กรรมวิธี 7. การกระตุ้น 8. รูปแบบ 9. ศตวรรษ 10. กลายเป็น 11. ตะวันตก 12. อาหารจานหลัก 13. มุมพิเศษ 14. แบบฉบับ 15. รับประทาน 16. อาณานิคม 17. คนทั่วโลก 18. น้ำมันมะกอก 19. สลัด
จากประวัติศาสตร์ของอาหารบอกเราว่า ชาวกรีกและชาวโรมันโบราณ มีความสุขกับการรับประทานอาหารจานสุขภาพที่เรียกว่าสลัดมาอย่างช้านานแล้ว จากนั้นสลัดก็กลายเป็นเมนูจานแรกๆ ที่คนทั่วโลกเรียกหาask for ทำให้มีสูตรและส่วนผสมที่แตกต่างกันไปตามสถานที่และเวลา
คำว่าสลัด Salad มาจากภาษาละติน Herba Salata ซึ่งหมายถึงผักรสเค็มเพราะว่าผักสดที่นำมาปรุงจะผสมด้วยน้ำส้มสายชู น้ำมันมะกอก และเกลือ ทำให้มีรสเค็มนำleading, foremost
จากคำว่า Salata ของภาษาละติน ในเวลาต่อมาก็ค่อยๆ กร่อนerode, wear downมาเป็นคำว่า Salad ในภาษาฝรั่งเศส จากนั้นชาวอังกฤษก็รับไปใช้เรียกอีกทีเมื่อราวศตวรรษที่ 14
จริงๆ แล้วสลัดอาจจะเริ่มต้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนมาแล้วก็เป็นได้ ซึ่งเป็นกรรมวิธีการทำอาหารของชาวบาบิโลนโดยการเอาผักสดๆ มาผสมกับน้ำส้มสายชู และน้ำมันมะกอกกระทั่งuntilชาวกรีกกับชาวโรมันก็นำสูตรของชาวบาบิโลนมาปรุงแต่งprepare (food), dress upเป็นสลัดในรูปแบบ/แบบฉบับของตัวเอง
สมัยโรมันล่มสลายใหม่ๆ คนยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ไม่รับประทานผักสด จะมีก็แค่อิตาลีและสเปนที่รับประทานสลัดกันอยู่ในวงจำกัดscope และเริ่มค่อยๆ ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นเมื่อตอนสิ้นสุดยุคกลาง โดยการเดินทางเข้ามาสู่ฝรั่งเศส อังกฤษ ไปจนถึงฝั่งของอเมริกา
ผู้ที่ทำให้สลัดกลายเป็นที่นิยมไปทั่วเกาะอังกฤษจริงๆ เรียกได้ว่าถึงขั้นตื่นตัวและหันมารับประทานสลัดจนแทบจะเป็นอาหารจานหลักก็คือพระราชินีแมร์รี แห่งสก็อต โดยมีการปรุงน้ำสลัดพิเศษจากมัสตาร์ดครีมขึ้นมา พร้อมทั้งมีเดรสซิ่งที่ปรุงแต่งเพิ่มเติมเข้ามาอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเห็ดทรัฟเฟิล ไข่ต้ม และรากผักชีฝรั่งparsley root (similar to turnips)
สลัดเริ่มเข้ามาให้คนอเมริกันได้ลิ้มลองget a taste of, experienceกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จากจุดเริ่มต้นที่รับประทานกันในวงแคบๆ หน้าตาไม่ได้สะสวยและชวนให้ลิ้มลองเท่าไหร่นัก
พอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ยามนี้แหละที่สลัดหน้าตาแกนๆunwillingly, unenthusiastically (หน้าตาธรรมดาๆ) ก็กลายเป็นอาหารจานหรูluxuryที่ขาดเสียมิได้essential, can't do withoutบนโต๊ะอาหารของคนชั้นกลางในอเมริกา และสหรัฐอเมริกาอีกนั่นแหละที่ทำให้สลัดกลายเป็นเมนูสากลที่คนทั่วโลกเรียกหา จากนั้นสลัดเริ่มเดินทางเข้าสู่ยุโรป จีน และญี่ปุ่น แม้กระทั่งร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่าง เคเอฟซีและแม็คโดนัลด์ ยังเพิ่มมุมพิเศษสำหรับสลัดบาร์โดยเฉพาะกันเลยทีเดียว
สลัดเดินทางมาญี่ปุ่นในสมัยจักรพรรดิเมจิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการกระตุ้นให้ชาวญี่ปุ่นรับประทานอาหารตามแบบตะวันตกรวมถึงสลัดนี้ด้วย โดยเน้นน้ำสลัดที่มีมายองเนสตามแบบฉบับของสลัดฝรั่งเศส จากนั้นสลัดเริ่มเผยแพร่ในทวีปเอเชียที่เป็น อาณานิคมของชาติตะวันตก อย่างฮ่องกง ที่เริ่มดัดแปลงสลัดในรูปแบบ/แบบฉบับของตัวเองขึ้นมาบ้าง และที่เลื่องชื่อที่สุดมาจนถึงวันนี้ก็คือ สลัดเนื้อสัน และสลัดไก่ นั่นเอง